ธปท. ปรับวงเงินโอนออนไลน์ใหม่ เริ่ม 1 พฤษภาคม: ใครต้องรู้? ใครได้รับผลกระทบ?

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศปรับเปลี่ยนวงเงินการโอนเงินและชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาตรการนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานบริการโอนเงินออนไลน์อย่างไรบ้าง? และกลุ่มไหนที่ต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ?
ทำไม ธปท. ถึงต้องปรับวงเงินโอน?
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการหลอกลวงออนไลน์และการแฮกบัญชีธนาคาร ได้สร้างความเสียหายให้กับประชาชนจำนวนมาก ธปท. จึงได้พิจารณาปรับปรุงมาตรการเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้ โดยการกำหนดวงเงินโอนรายวันสูงสุด และเพิ่มขั้นตอนการยืนยันตัวตนก่อนการทำธุรกรรมที่มีมูลค่าสูง
วงเงินใหม่จะเป็นอย่างไร?
วงเงินโอนและชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (PromptPay, Mobile Banking, Internet Banking) จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท:
- วงเงินประเภทที่ 1: สำหรับผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนยืนยันตัวตนด้วย Biometrics (ลายนิ้วมือ หรือ Face ID) วงเงินโอนสูงสุดคือ 50,000 บาทต่อวัน
- วงเงินประเภทที่ 2: สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนยืนยันตัวตนด้วย Biometrics วงเงินโอนสูงสุดคือ 100,000 บาทต่อวัน
หากต้องการโอนเงินเกินวงเงินที่กำหนด จะต้องทำการยืนยันตัวตนเพิ่มเติม เช่น OTP (One-Time Password) หรือ Biometrics
ใครบ้างที่ได้รับผลกระทบ?
มาตรการนี้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานบริการโอนเงินออนไลน์ทุกคน โดยเฉพาะ:
- ผู้ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนยืนยันตัวตนด้วย Biometrics: จะมีวงเงินโอนที่จำกัดกว่าผู้ที่ยืนยันตัวตนแล้ว
- ผู้ที่ต้องทำธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงเป็นประจำ: อาจต้องใช้เวลาเพิ่มเติมในการยืนยันตัวตนเพื่อทำธุรกรรม
- ผู้สูงอายุและเด็ก: กลุ่มเสี่ยงที่อาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ควรได้รับการแนะนำและให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรการใหม่นี้
สิ่งที่ควรทำเพื่อรับมือกับมาตรการใหม่
- ลงทะเบียนยืนยันตัวตนด้วย Biometrics: เพื่อเพิ่มวงเงินโอนและเสริมความปลอดภัยในการทำธุรกรรม
- ระมัดระวังการโอนเงินให้บุคคลที่ไม่รู้จัก: ตรวจสอบข้อมูลผู้รับให้รอบคอบก่อนทำธุรกรรม
- อย่าหลงเชื่อกลโกงออนไลน์: ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือรหัสผ่านให้กับผู้อื่น
- อัปเดตแอปพลิเคชันธนาคารให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด: เพื่อให้ได้รับความปลอดภัยจากช่องโหว่ต่างๆ
ธปท. หวังว่ามาตรการนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการใช้บริการทางการเงินดิจิทัล อย่างไรก็ตาม การตระหนักถึงความเสี่ยงและการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาความปลอดภัยของทรัพย์สินส่วนบุคคล